🧑🏫 ผู้เชี่ยวชาญ
เคยรู้สึกไหมว่าต้อง “รู้ทุกอย่าง” ถึงจะเรียกว่าคนเก่งจริง? Python, DevOps, Infrastructure as Code, Testing, Security… ทุกคำถามต้องตอบได้หมดถึงจะไม่โดนจับได้ว่า “ไม่รู้” ความคิดแบบนี้นี่แหละ ที่มักจะทำให้คนเก่ง ๆ หมดไฟโดยไม่รู้ตัว เพราะในความเป็นจริง ไม่มีใครรู้ทุกอย่างได้หรอก
ผู้เชี่ยวชาญ (The Expert) คือหนึ่งในรูปแบบของภาวะผู้แอบอ้าง (Imposter Syndrome) ที่ทำให้เรารู้สึกเหมือนเป็น “ของปลอม” เพียงเพราะเรายังไม่รู้ทั้งหมดในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง
🧠 ทำไมถึงเป็นแบบนี้
คนที่เป็น “ผู้เชี่ยวชาญ” มักตั้งมาตรฐานกับตัวเองไว้สูงมาก กลัวจะถูกมองว่าไม่รู้ หรือไม่เก่งพอ และเชื่อว่าต้องรู้ทุกอย่างก่อนถึงจะกล้าแชร์ กล้าสอน หรือกล้าพูด
"ยิ่งฉันเรียนรู้มากขึ้น ฉันก็ยิ่งตระหนักว่ายังมีอีกมากที่ฉันยังไม่รู้" - อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์
จริง ๆ แล้ว เครื่องมืออย่าง GitHub Copilot สามารถเป็นเพื่อนคู่คิดที่ดีได้มาก ถ้าไม่แน่ใจว่าทำไมโค้ดถึงทำงานแบบนั้น ก็ถามมันได้เลย ขึ้นอยู่กับโหมดที่คุณเลือก จะให้ตอบแบบละเอียด กระชับ สนุก หรืออธิบายเหมือนเล่าให้เด็กห้าขวบฟังก็ยังได้ 😄
คุณสามารถให้ Copilot อธิบายโค้ดเฉพาะบรรทัด ทั้งไฟล์ หรือทั้ง repo ก็ได้ เช่น ถ้าคุณอยากให้มันตรวจเช็กภาพใน repo ว่าสไตล์สอดคล้องกันไหม หรือรองรับ responsive design และ accessibility ครบหรือเปล่า คุณก็สามารถให้มันรีวิวและแนะนำวิธีเขียนใหม่ได้เลย
ถ้าคุณเคยรู้สึกไม่มั่นใจในทักษะของตัวเองในฐานะนักพัฒนา ลองใช้ GitHub Copilot ในโหมด Ask Mode ดูสิ มันเหมือนมีโค้ชส่วนตัวอยู่ข้าง ๆ ครูที่ไม่เคยเบื่อกับคำถามของคุณเลย พร้อมอธิบายซ้ำกี่รอบก็ได้ จนกว่าคุณจะเข้าใจจริง ๆ จะถามเรื่องเล็ก เรื่องใหญ่ เรื่องพื้นฐานแค่ไหน มันก็ยังตอบอย่างใจเย็นเสมอ 🧑💻
แต่ถ้าคุณเป็นนักพัฒนาที่มีประสบการณ์มากขึ้นแล้ว Edit Mode จะกลายเป็นเพื่อนคู่ใจของคุณ มันช่วยให้คุณเขียนโค้ดได้ไวขึ้น เติม boilerplate ให้โดยอัตโนมัติ และเข้าใจเจตนาของคุณจากคอมเมนต์หรือโค้ดที่พิมพ์เพียงไม่กี่บรรทัดเรียกได้ว่า เหมือนมีผู้ช่วยที่รู้ใจคุณสุด ๆ
ส่วนใครที่เป็น Senior Architect คงมองเห็นภาพของทั้งโปรเจกต์ได้ในหัวอยู่แล้ว รู้ว่าจะสื่อสารกับทีมยังไง หรือวางโครงสร้าง repo แบบไหนคุณน่าจะชอบ Agent Mode มาก เพราะมันทำงานเหมือนผู้ช่วยที่เข้าใจเป้าหมายของคุณ สามารถลงมือวางแผน แยกงาน และจัดการขั้นตอนต่าง ๆ ได้เอง
แต่มีข้อควรระวังนะ ⚠️ ถ้าคุณเพิ่งเริ่มต้น อย่าเพิ่งรีบใช้ Agent Mode เพราะมันจะทำให้คุณ “ข้ามขั้นตอนการเรียนรู้” ไปเลย คุณอาจได้โค้ดที่ทำงานได้จริง แต่จะไม่รู้ว่า ทำไมมันถึงทำงานแบบนั้น และสุดท้าย... คุณจะไม่มีพื้นฐานที่แข็งแรงพอจะเติบโตต่อในสายนี้ได้
Copilot คือผู้ช่วยที่ดีมาก แต่จำไว้นะ มันเป็น “ผู้ช่วย” ไม่ใช่ “ตัวแทนของเรา” 💡
สามโหมดหลักของ Copilot
- Ask Mode = คุยกับ Copilot เหมือนเพื่อนคู่คิด ถาม–ตอบเพื่อเข้าใจและระดมไอเดีย
- Edit Mode = ให้มันช่วยเขียนใหม่หรือปรับโค้ดตามเงื่อนไขที่กำหนด
- Agent Mode = มอบหมายงานหลายขั้นตอน เช่น เพิ่มฟีเจอร์ เขียนเทสต์ หรืออัปเดตงานให้ครบ
⚙️ ความสามารถและข้อจำกัดของแต่ละโหมด
🗣️ Ask Mode
- ใช้ข้อมูลบริบทแค่บางส่วน เช่น ไฟล์ที่เปิดอยู่ บรรทัดที่เลือก หรือสัญลักษณ์ที่เกี่ยวข้อง
- ไม่แตะหรือแก้ไขไฟล์จริงโดยตรง
- เหมาะกับ: การเรียนรู้ การถามคำถามเฉพาะจุด เช่น ประสิทธิภาพ ความซับซ้อน หรือการหาวิธีใช้ API
- คิดซะว่าเป็น “พื้นที่ปลอดภัย” สำหรับการลองคิด ลองถาม ลองเรียนรู้ ไม่มีผิดไม่มีถูก
✍️ Edit Mode
- ใช้งานโดยเลือกโค้ดที่ต้องการ แล้วพิมพ์คำสั่งเชิงสั่งการ เช่น “ปรับโค้ดลูปนี้ให้ดีขึ้น”, “แปลงให้เป็น async”, “เพิ่ม docstring ให้หน่อย”
- Copilot จะสร้าง diff ให้ดู คุณเลือกได้ว่าจะรับ บางส่วน หรือไม่เอาเลย
- จุดเด่นคือการเปลี่ยนแปลงแบบค่อยเป็นค่อยไป ตรวจสอบได้ทุกขั้นตอน
- คำสั่งที่ดีควรระบุเงื่อนไขให้ชัด เช่น
“อย่าแตะ public API”, “เพิ่มความอ่านง่าย”, “ห้ามเพิ่ม dependency ภายนอก”
🤖 Agent Mode
- ใช้เมื่ออยากให้ Copilot ช่วยทำงานใหญ่ ๆ ที่มีหลายขั้นตอน เช่น
“เพิ่มระบบ JWT auth พร้อม middleware, test และ docs”
- มันสามารถทำได้ตั้งแต่
- อ่านและอัปเดตหลายไฟล์
- สร้างโมดูลใหม่
- วางแผนลำดับงาน (เช่น “ต้องมี config loader → สร้างไฟล์ → เพิ่ม import → เขียน test”)
- บางสภาพแวดล้อม Copilot จะถึงขั้นสร้าง branch และ PR ให้เลย
- เหมาะสุดสำหรับงานที่ซับซ้อน มีหลายไฟล์พึ่งพากัน
- แต่จำไว้ว่า ถึงจะฉลาดแค่ไหน ก็ยังต้องมีมนุษย์คอยตรวจทุกขั้นตอน
โดยเฉพาะเรื่อง security หรือ logic สำคัญของระบบ 🔒
ตัวอย่างโค้ด (Python)
สมมติว่าคุณมีฟังก์ชันนี้:
def compute_totals(items):
# items: list of dicts like {"price": 10.0, "qty": 2, "category": "book"}
subtotal = 0
cat_map = {}
for it in items:
if "price" not in it or "qty" not in it:
continue
subtotal += it["price"] * it["qty"]
c = it.get("category", "uncategorized")
if c not in cat_map:
cat_map[c] = 0
cat_map[c] += it["price"] * it["qty"]
tax = subtotal * 0.0825
grand = subtotal + tax
return {
"subtotal": subtotal,
"tax": tax,
"grand_total": grand,
"by_category": cat_map
}
💡 วิธีใช้แต่ละโหมดยังไงดี
- Ask Mode
ลองพิมพ์คำสั่งแบบนี้ดู:
“อธิบาย time complexity ของฟังก์ชัน
compute_totals
แล้วแนะนำวิธีปรับปรุงเล็กน้อย แต่ห้ามเปลี่ยนความหมายของโค้ด” สิ่งที่ได้: Copilot จะอธิบายโค้ดให้ พร้อมแนะนำแนวทางเล็ก ๆ เช่น - ลองใช้
defaultdict
- หลีกเลี่ยงการคูณซ้ำ
-
หรือพิจารณาใช้
Decimal
สำหรับคำนวณเงิน -
Edit Mode เลือกฟังก์ชันที่ต้องการ แล้วสั่ง Copilot ว่า:
“ปรับโครงสร้างโค้ดให้อ่านง่ายขึ้น ใส่ type hints ใช้ Decimal และลดการคูณซ้ำ (สมมติค่าสกุลเงิน 2 ทศนิยม)” สิ่งที่ได้: Copilot จะเสนอเวอร์ชันที่ปรับโค้ดให้สวยและอ่านง่ายขึ้น พร้อมบอกว่าเปลี่ยนตรงไหนบ้าง เหมือนดู diff แบบมีเหตุผลประกอบ
from decimal import Decimal, ROUND_HALF_UP
from collections import defaultdict
from typing import List, Dict, Any
def compute_totals(items: List[Dict[str, Any]]) -> Dict[str, Any]:
subtotal = Decimal("0.00")
by_category: Dict[str, Decimal] = defaultdict(lambda: Decimal("0.00"))
for it in items:
try:
price = Decimal(str(it["price"]))
qty = Decimal(str(it["qty"]))
except KeyError:
continue
line_total = price * qty
subtotal += line_total
category = it.get("category", "uncategorized")
by_category[category] += line_total
tax_rate = Decimal("0.0825")
tax = (subtotal * tax_rate).quantize(Decimal("0.01"), rounding=ROUND_HALF_UP)
grand = (subtotal + tax).quantize(Decimal("0.01"), rounding=ROUND_HALF_UP)
return {
"subtotal": str(subtotal),
"tax": str(tax),
"grand_total": str(grand),
"by_category": {k: str(v) for k, v in by_category.items()}
}
ความคิดเห็น:
- ใช้
Decimal
เพื่อให้การคำนวณเงินแม่นยำมากขึ้น (เพราะfloat
อาจทำให้เกิดการปัดเศษสะสมโดยไม่รู้ตัว) - การใช้
defaultdict
ทำให้การบวกสะสมค่าทำได้ง่ายกว่าเดิม -
ย้ายการคำนวณ
line_total
ออกมาให้ทำเพียงครั้งเดียว ช่วยให้โค้ดอ่านง่ายและมีประสิทธิภาพมากขึ้น -
คำสั่ง Agent Mode: ลองสั่งแบบนี้ดู 👉
“ช่วยแนะนำโมดูลการจัดการราคาให้หน่อย”
Copilot จะเข้าใจและลงมือทำหลายอย่างให้โดยอัตโนมัติ เช่น
* แยกฟังก์ชัน compute_totals
ออกเป็น 3 ส่วนย่อย: parse_items()
, aggregate_by_category()
, และ compute_totals()
* เพิ่ม unit test (ใช้ pytest
) ครอบคลุมเคสพิเศษ เช่น คีย์หาย, จำนวนเป็นศูนย์, หรือราคาสูงเกินไป
* เพิ่มส่วนอธิบายวิธีจัดการสกุลเงินใน README.md
* ตรวจสอบให้แน่ใจว่าไม่มีการใช้ dependency ภายนอกนอกจาก stdlib
และ pytest
สิ่งที่ Agent จะทำให้คุณ:
* สร้างไฟล์ pricing/__init__.py
* เพิ่มโมดูลใหม่ pricing/aggregate.py
* เขียนเทสต์ใน tests/test_pricing.py
* อัปเดต README.md
พร้อมตัวอย่างการใช้งาน
💡 เกร็ดน่ารู้
Agent แบบ “หลายขั้นตอน” (Multi-step Agents) มักจะเชื่อมการแก้ไขหลายจุดเข้าด้วยกัน มันจะคิดแบบเดียวกับที่คุณทำด้วยตัวเองทีละขั้น แต่ทำต่อเนื่องและรวดเร็วกว่า ✨
🌱 วิธีเอาชนะ Imposter Syndrome แบบ “ผู้เชี่ยวชาญ”
- มองการเรียนรู้เหมือนการเดินทาง ไม่มีใครรู้หมดทุกเรื่อง
- กล้าถามและขอความช่วยเหลือ นั่นคือสัญญาณของความเข้มแข็ง ไม่ใช่ความอ่อนแอ
- แบ่งปันสิ่งที่รู้กับคนอื่น การสอนคือวิธีเรียนรู้ที่ดีที่สุด
- พูดว่า “ยังไม่รู้” ได้เสมอ แล้วตามด้วย “แต่เรามาหาคำตอบไปด้วยกันเถอะ” 💜